วันเสาร์ที่ 6 กรกฎาคม พ.ศ. 2556

สวัสดีอุดรมีชัย : จุมเรียบซัวรฺ อ็อดดอลเมียนเจย





สายๆ ของวันอาทิตย์ที่ผ่านมา ฉันและพี่ๆ สุรินทร์สโมสรห้าชีวิต ออกเดินทางจากตัวเมืองสุรินทร์มุ่งหน้าไปยังด่านชายแดนช่องจอม...ก่อนหน้านั้นฉันมักมาที่ตลาดช่องจอมแห่งนี้ โดยเฉพาะช่วงเสาร์-อาทิตย์ ตลาดชายแดนจะคึกคักเป็นพิเศษ เพราะชาวบ้าน พ่อค้าแม่ขายทั้งไทย กัมพูชา ต่างสรรหาผัก ปลา หมู เห็ด เป็ด ไก่ ฯลฯ มาค้าขายแลกเปลี่ยนกันที่นี่
  ๑๑ โมงเช้า ฉันแบกเป้ใบเล็กต่อแถวยาวเหยียดเพื่อปั๊ม borderpart กว่าเราจะข้ามด่านชายแดนได้ก็ใช้เวลาราว ๑ ชั่วโมง ข่าวทางหน้าหนังสือพิมพ์บ้านเราบอกว่าชายแดนช่องจอมตรึงกำลัง ทำให้หลายคนคัดค้านการเดินทาง แต่เราตั้งใจกันแล้วว่าจะแวะไปเยือนอุดรเมียนเจยสักคราเป็นโรคเลื่อนมาหลายครั้ง ตอนนี้เป็นไงเป็นกันเราไปดี เขามาดีพระท่านคงคุ้มครอง...ในใจคิดอย่างนั้นท่ามกลางเสียงคัดค้าน...แต่วันนี้ใยผู้คน (ประชาชน) แน่นขนัดด่านช่องจอม
   เราเช่ารถในราคา ๑,๕๐๐ บาท ไปถึงกรุงสำโรง (ชื่อในปัจจุบันของตัวเมืองอุดรเมียนเจย) กว่าจะรู้ว่าถูกโก่งราคา ก็คนขับรถนั่นเองเป็นคนบอก เพราะเขาต้องจ่ายค่านายหน้าให้พี่ไทยเรานี่เอง (เสียความรู้สึกหน่อย เพราะพี่ท่านเก็บค่านายหน้าแพงเหลือเกิน ซึ่งราคาจริงของการเช่ารถจากช่องจอมไปอุดรเมียนเจย ประมาณพัน ไม่เกินพันสองร้อยบาท)
    ช่องจอม...มองจากฝั่งไทยแล้วเหมือนกับว่าเป็นช่องเขาที่ราบ ลาดลงเขาอย่างเรียบง่าย ในจินตนาการของฉันช่องจอมเป็นเพียงเนินเขาและค่อยๆ ลาดลงไปยังกัมพูชา แต่เปล่าเลยแม้ว่าถนนหนทางทุกวันนี้จะถูกปรับปรุงให้ดีขึ้น แต่ความคดเคี้ยว และร่องรอยการกัดเซาะของน้ำ ก็ทำให้ถนนกรวดกลายเป็นร่องเล็กร่องใหญ่ ตลอดทางที่ลงเขา เหมือนกับเรากำลังขับรถในเขตอุทยานแห่งชาติ บ้างก็มีหินก้อนใหญ่ๆ แต่ถือว่าเป็นทางลงที่สะดวกพอสมควร...เงาไม้สองข้างทางชวนให้นึกถึงยุคก่อนที่ผู้เฒ่าผู้แก่เล่าให้ฟังว่า การเดินทางผ่านช่องเขาแห่งนี้ใช้เวลาร่วมสองวันไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน อากาศเย็นยะเยือกตั้งแต่ออกจากตัวอำเภอปราสาท จังหวัดสุรินทร์ (ห่างจากช่องจอมราว 30 กิโลเมตร) แต่ทุกอย่างก็เปลี่ยนไปแล้วเหลือเพียงพื้นที่สั้นๆ ที่ถนนตัดผ่านที่พอจะเห็นร่องรอยความอุดมสมบูรณ์บ้าง  ไม่แปลกใจเลยว่าที่นี่คือต้นธารแห่งโตนเลซาป  ที่มีปลาว่ายทวนน้ำมาวางไข่เวลาเปลี่ยนไปความอุดมสมบูรณ์ก็ยังคงมีอยู่ แม้จะไม่เหมือนเดิม

รถแท็กซี่ (แคมรี่) พาเราวิ่งฉิวราวกับถนนเส้นนี้ไม่มีหลุมแต่ฉันหาที่เกาะอย่างเหนียวแน่นตลอดทางไม่กล้าแม้จะหยิบกล้องตัวจิ๋วออกมาถ่ายภาพสองข้างทาง (แบบว่าไม่มีจังหวะหายใจ ลุ้นระทึกตลอดทาง)...สี่สิบนาทีให้หลังเราก็มาถึงกรุงสำโรง (ตัวเมืองอุดรเมียนเจย) จังหวัดเล็กๆ ของกัมพูชา นับระยะทางสี่สิบสองกิโลเมตรจากด่านชายแดนช่องจอม "ท่านอิง วอน" รอต้อนรับคณะเราเพราะครั้งนี้ตั้งใจไปเยี่ยมท่านและถามไถ่ข่าวคราวถึงพี่น้องที่เคยมาเยือนสุรินทร์เมื่อปีก่อน เราทานข้าวเที่ยงกันเสร็จ เจ้าบ้านท่านจัดหารถและพาเราเที่ยวรอบกรุงสำโรง

ที่มา :
http://www.oknation.net/blog/surin-samosorn/2009/07/02/entry-1