วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

หนังสื่อ ภูมิปัญญาแห่งศตวรรษ




หนังสือ “ภูมิปัญญาแห่งศตวรรษ”

รศ.วิทยากร เชียงกูล

            หนังสือโดยฟริตจอฟคาปรา นักฟิสิกส์และนักปรัชญาสังคมชาวออสเตรีย ผู้เขียนหนังสือชื่อ เต๋าแห่งฟิสิกส์ จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรษที่โด่งดัง เขาเสนอให้เปลี่ยนวิธีคิด วิธีมองแบบกลไกแยกส่วน มามองเรื่องฟิสิกส์ ชีววิทยา สุขภาพอนามัย จิตวิทยา เศรษฐกิจ ระบบนิเวศ สิทธิสตรี ฯลฯ อย่างสัมพันธธเชื่อมโยงเป็นระบบองค์รวม ประสานวิทยาศาสตร์ตะวันตกที่เน้นเหตุผลเข้ากับปรัชญาตะวันออก เช่น เต๋า พุทธ ฯลฯ ที่ให้ความสำคัญต่อปรีชาญาณหยั่งรู้ เพื่อหาความเข้าใจเรื่องธรรมชาติ ชีวิตสังคม ฯลฯ อย่างลึกซึ้ง
            มีชื่อรองว่า “บทสนทนากับคนที่เด่นเป็นพิเศษ” เป็นการบันทึก เล่าเรื่อง สรุป การค้นคว้าวิจัยของคาปรา เพื่องเขียนหนังสือเรื่อง The Turning Point (จุดเปลี่ยนแห่งศตวรรรษ) ผู้อ่านจะได้เห็นวิธีทำงานวิจัยเพื่อเขียนหนังสือเล่มหนึ่งที่ใช้เวลาหลายปี ด้วยการตจิดตามอ่านและฟัง การนัดหมายสนทนาแลกเปลี่ยนความคิดกับนักฟิสิกส์ คาร์ล ไฮเซ็นแบร์ก นักปรัชญา เจกฤษณะมูรติ นักจิตวิทยา อารดี แลง ผู้เยียวยาสุขภาพทางเลือก คาร์ล ไซมอนตัน นักเศรษฐศาสตร์ทั้งทางเลือก อีเอฟ ชูมาคเคอร์ และเฮเซล เฮ็นเดอรสัน รวมทั้ง อินทิรา คานธี นกยกรัฐมนตรีสตรีของอินเดีย
            คาปรา เป็นหนุ่มในยุคบุปผาชน / ฮิปปี้ ที่คนหนุ่มสาวประท้วงสงครามเวียดนามและสังแบบทุนนิยม บริโภคนิยม เขาสนใจปรัชญาตะวันออก วิเคราะห์เรื่องวิทยาศาสตรือย่างเชื่อมโยงกับชีวิตและสังคม เช่นการรู้ว่าแสงมีคุณสมบัติเป็นทั้งอนุภาคและคลื่นได้ในสถานการณ์ต่าง ๆ และสัมพันธ์กับมุมมองของมนุษย์ด้วย ทำให้เขามองข้ามกับดักของการคิดแบบแยกส่วน 2 ขั้วสุดโต่งว่าต้องเป็นขาวหรือดำอย่างใดอย่างหนึ่งไปสู่การมองเรื่องความสัมพันธ์กันอย่างซับซ้อนของสิ่งต่าง ๆ อย่างเป็น เช่น สุขภาพทางร่างกายขึ้นอยู่กับสุขภาพความคิดจิตใจอย่างมาก เรื่องเศรษฐกิจสัมพันธ์กับชีวิตที่ดีและระบบนิเวศ เรื่องสิทธิสตรีที่คำนึงถึงสังคมแบบผู้ชายเป็นใหญ่ ที่มีลักษณะกดขี่เอาเปรียบ ทำลายล้าง
            อารดี แลง นักจิตวิทยามองว่าแทนที่จะมองอย่างง่าย ๆ ว่าจิตเภทหรือโรคจิตรูปแบบอื่น ๆ ว่าเป็นโรคภัย เราอาจมองว่ามันคือวิธีการพิเศษที่คนเราสร้างขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองอยู่รอดในสถานการณ์ของสังคมที่มีปัญหา การเยียวยาหรือปฏิบัติต่อคนที่แตกต่างไปจากคนอื่นจึงเป็นเรื่องที่ต้องการความาเข้าใจในเรื่องความสันพันธ์ของคนในสังคมวัฒนธรรมนั้นๆ ด้วย
            เรื่องการแพทย์ตะวันตกมีวิธีการมองแบบแยกส่วนเหมือนมนุษย์เป็นนาฬิกาที่ประกอบ้วยชิ้นส่วนต่าง ๆ ที่เมื่อชิ้นไหนเสียก็ซ่อมชิ้นนั้น ทำให้มีการพึ่งพาโรงพยาบาลและการใช้ยามากเกินไปจนสร้างปัญหา ต้องกลับมามองวิธีการเยียวยาในเชิงป้องกันรักษาร่างกาย และจิตใจให้สมดุลแข็งแรงอย่างเชื่อมโยงเป็นระบบองค์รวมมากขึ้น ซึ่งการแพทย์จินและอินเดียดั้งเดิมก็ศึกษามาในแนวนี้
            คาร์ล ไซมอนตัน  ผู้ศึกษาเรื่องโรคมะเร็งได้ทดลองรักษาผู้ป่วยมะเร็งแบบวิจัยไปด้วยและพบว่าการดูแลความคิดจิตใจของผู้ป่วยให้เข้มแข็ง ไม่เครียด วิตกกังล ทำให้คน ๆ นั้นสร้างภูมิต้านทานเซลล์ผิดปกติได้ดีขึ้น ลดการขยายตัวของมะเร็งและทำให้ชีวิตผู้ป่วยยืนยาวขึ้น
            จากเรื่องสุขภาพ คาปรา มองต่อไปว่าเกษตรกรแบบเคมีมีผลกระทบต่อสุขภาพและระบบนิเวศสำคัญ รวมทั้งเห็นว่าอุตสาหกรรมเภสัชและระบบคุณค่าในระบบเศาษฐกิจสมัยใหม่คือตัวปัญหาที่เราต้องกลับไปศึกษาเรื่องเศรษฐกิจและเรื่องอื่นๆ ในเชิงระบบนิเวสและระบบสังคมมากขึ้น คาปราไม่ใช้คำว่าระบบทุนนิยมอุตสาหกรรม เพราะเขาเรรียมาและเติบโตมาในแนวเสรีนิยม แต่ประเด็นปัญหาระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ที่เขาวิจารณ์ก็คือตัวระบบทุนนิยมอุตสาหกรรมนั้นเอง
            คาร์ล ไซมอนตัน เห็นว่าเรืองความคิดจิต อารมณ์ เชื่อมโยงกับสุขภาพร่างกายด้วยและเกี่ยวข้องกับเรื่องสุขภาพของสังคมด้วยพฤติกรรมต่อต้านสังคม ความรุนแรง อาชญากรรม ยาเสพติด คือสุขภาพของสังคมที่เราต้องคำนึงถึงเวลาเราพูดเรื่องสุขภาพ เพราะถึงอดีต การเจ็บป่วยจะลดน้อยลง หรือคนมีสุขภาพดีขึ้น ก็เท่ากับเราไม่ได้ทำอะไรเพื่อทำให้สุขภาพของสังคมดีขึ้นเลย
            อีเอฟ ชูมาร์กเกอร์ นักเศรษฐศาสตร์ชาวเยอรมัน ผู้เขียนหนังสือเรื่อง Small is Beautiful (แปลเป็นไทยแล้วชื่อ จิ๋วแต่แจ๋ว) เสนอว่าระบบเศรษฐกิจสมัยใหม่ที่เน้นการเติบโตของผลผลิตมีวิธีคิดแบบล้าสมัย มองแบบแยกส่วน จำกัดตัวเองอยู่ในการวิเคราะห์ทางปริมาณ ปฏิเสธที่จะมองเข้าไปในธรรมชาติแท้ของสรรพสิ่งใช้เทคโนโลยีสมัยใหม่ที่มีลักษณะแยกส่วนและแปลกแยก กีดกั้นประชาชนจากการทำงานที่สร้างสรรค์ และมีประโยชน์สร้างความพอใจ
             เขาได้พัฒนาแนวคิดเศรษฐศาสตร์ชาวพุทธจากประสบการณ์การไปทำงานที่ประเทศพม่า เข้าเห็นว่าเศรษฐศาสตร์ควรยึดถือความสุขความพอใจของคนเป็นสำคัญควรใช้เทคโนโลยีขนาดเล็กที่เหมาะสมที่ประชาชนทำได้เองและเข้ากับระบบธรรมชาติ ระบนิเวศ มากกว่าเทคโนโลยีขนาดใหญ่ นั่นก้คือเขาเรียกร้องให้พัฒนาวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี ไปสู่ลักษณะที่เป็น อินทรีย์ (Organic) ที่อ่อนโยน ไม่รุนแรง เฉียบคม และงดงาม
            คาปรายังได้แนวคิดจากเรื่องสิทธิสตรีและระบบนิเวศ เกี่ยวกับการมองและพัฒนาชีวิตสังคมที่สมดุล เสมอภาค สร้างสรรค์ ยั่งยืนด้วย เฮเซล เฮ็นเดอร์สัน นักอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม กล่าวว่า “ผลกำไรของเอกชนถู๔กทำให้เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยต้นทุนของภาคสาธารณะ จากความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อมและคุณภาพชีวิตโดยทั่วไปพวกเขาบอกเราเรื่องถ้วยโถโอชามและเสื้อผ้าที่งามระยิบระยับ แต่ลืมบอกเราเรื่องการสูญเสียไปของแม่น้ำ ทะเลสาบที่เยเป็นประกายแวววาว”

ที่มา : รศ. วิทยากร เชียงกูล กรุงเทพธุรกิจ วันจันทร์ที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560  หน้า 9

ไม่มีความคิดเห็น: