วันอังคารที่ 21 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560

สังคมไทยกับการทอดกฐิน




สังคมไทยมีวัฒนธรรมและประเพณีมากมาย จนบางครั้งมิอาจจะอรรถาธิบายได้ว่ามีคุณค่าหรือมีความหมายต่อวิถีชีวิตอย่างไร เพราะได้ปฏิบัติสืบต่อกันมาจากยุคสู่ยุค ด้วยเหตุนี้จึงมีวัฒนธรรมประเพณีเป็นจำนวนมากในสังคมไทยที่บรรพบุรุษได้ปฏิบัติมาอย่างมีนัยสำคัญ แต่ครั้นถึงรุ่นลูกรุ่นหลานได้กลายพันธุ์ไปเสียแทบหมดสิ้น และเมื่อสังคมและวัฒนธรรมไทยมีความเชื่อมโยงกับสังคมและวัฒนธรรมร่วมสมัย การยึดถือหรือปฏิบัติในลักษณะที่มิอาจจะอรรถาธิบายถึงเหตุผลในเชิงวิทยาศาสตร์ได้ จึงนำไปสู่สภาพปัญหาต่างๆ นานา บางวัฒนธรรมประเพณีดูเหมือนจะก่อให้เกิดปัญหาสังคมด้วยซ้ำไป ดังกรณีประเพณีการทอดกฐินและการลอยกระทง เป็นต้น

วัฒนธรรมประเพณีการทอดกฐิน : การทอดกฐินในสังคมไทยได้เริ่มต้นมาตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ภายหลังการออกพรรษา บางวัดพอประกอบพิธีตักบาตรเทโวเสร็จก็มีการทอดกฐินต่อเนื่องตามมา การทอดกฐินจึงเป็นวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามของชาวพุทธไทย เพราะมีความเชื่อว่าการทอดกฐินเป็นกาลทาน คือการทำบุญที่มีกรอบเวลาจำกัดคือเพียง 1 เดือนเท่านั้น จึงมีผลต่อวิถีชีวิตและมีอานิสงส์แก่ผู้ถวายมากมายมหาศาล เมื่อถึงฤดูกาลหรือเทศกาลทอดกฐิน ไม่ต้องขออนุญาตจากทางการก็สามารถบอกบุญเรี่ยไรหรือแจกซองได้ ฎีกาบอกบุญจึงปลิวว่อนไปทั่วทุกกระทรวง ทบวง กรม

ความหมายของกฐิน : การทอดกฐินนั้นมีกรอบเวลาสั้นๆ เพียง 1 เดือน คือตั้งแต่แรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 เท่านั้น พ้นกำหนดนี้แล้วไม่สามารถทอดกฐินได้ และคำว่า กฐิน ตามรูปศัพท์แปลว่าไม้สะดึง คือไม้แบบสำหรับขึงผ้าเพื่อตัดเย็บจีวร ได้แก่ กรอบไม้สำหรับขึงผ้าเย็บจีวรของภิกษุในสมัยพุทธกาล และที่เรียกว่า "ผ้ากฐิน" ก็เพราะเวลาจะเย็บนั้นต้องขึงผ้าให้ตึงด้วยไม้สะดึงก่อนแล้วจึงเย็บ

พระพุทธองค์ทรงอนุญาตให้ภิกษุที่อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนในฤดูฝน สามารถประกอบกฐินกรรมได้ คือมีระยะเวลาเพียง 1 เดือนท้ายฤดูฝนซึ่งเรียกว่า เขตกฐิน และเมื่อภิกษุสงฆ์สามารถแสวงหาผ้ามาประกอบพิธีเย็บและย้อมให้แล้วเสร็จภายใน 1 เดือน คือตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 11 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ซึ่งเรียกว่า เขตจีวรกาล ก็จะได้รับสิทธิพิเศษขยายระยะเวลาไปอีก 4 เดือน คือตั้งแต่วันแรม 1 ค่ำ เดือน 12 ถึงวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 4

พิธีกรานกฐิน : ญาติโยมที่มีจิตศรัทธานำผ้ากฐินไปถวายภิกษุสงฆ์ที่อยู่จำพรรษาครบ 3 เดือนในวัดใดวัดหนึ่งเรียกว่า ทอดกฐิน ส่วนพิธีกรานกฐินนั้น เป็นเรื่องสังฆกรรมของสงฆ์ เมื่อได้รับผ้ากฐินจากญาติโยมที่ทอดถวายแล้ว นำผ้ากฐินไปประกอบพิธีตามพระวินัยเรียบร้อยแล้วก็จะได้รับอานิสงส์ขยายเขตจีวรกาล คือเวลาในการแสวงหาผ้าจีวรเพิ่มอีก 4 เดือน พร้อมกับได้รับอานิสงส์ในทางพระวินัย 5 ประการ

สาระสำคัญของการทอดกฐิน : สังคมไทยได้ทำบุญทอดกฐินตลอดระยะเวลา 1 เดือน คือตั้งแต่วันออกพรรษาถึงวันลอยกระทง เรียกว่าอิ่มบุญกันโดยทั่วหน้า ส่วนคนที่เบื่อบุญนั้นต้องปลงและทำใจที่เกิดมาเป็นคนไทยและนับถือศาสนาพุทธ

อย่างไรก็ดี สาระสำคัญของการทอดกฐินนั้นอยู่ที่ผ้าจีวร เพราะกฐินเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับผ้าจีวร 3 ผืนเท่านั้น คือ 1) ผ้าจีวรที่ใช้พาดบ่า 2) ผ้าจีวรที่ใช้ห่ม และ 3) ผ้าจีวรที่ใช้นุ่ง เมื่อจีวรมี 3 ผืนจึงเรียกว่า ไตรจีวร แต่ชาวพุทธไทยมักเข้าใจผิดคิดว่า จีวร คือผ้าที่ใช้สำหรับห่มคลุมของพระภิกษุเท่านั้น แต่ในทางพระวินัยนั้นไม่ว่าจะเป็นผ้าพาดบ่า (สังฆาฏิ) ผ้าห่ม (อุตราสงค์) หรือผ้านุ่ง (อันตรวาสก) รวมเรียกว่าจีวรทั้งสิ้น เมื่อกฐินเป็นเรื่องเกี่ยวกับผ้าจีวร การทอดกฐินจึงเป็นเรื่องไม่ใหญ่โตแต่ประการใด เพียงนำผ้าผืนใดผืนหนึ่งไปทอดถวายก็สำเร็จเป็นกฐินแล้ว เพราะเวลาพระท่านกรานกฐินนั้น ท่านจะอธิษฐานผ้าผืนใดผืนหนึ่งเท่านั้น แต่ด้วยเหตุที่การทอดกฐินในสังคมไทยได้กลายพันธุ์จนแทบจะไม่เหลือคุณค่าทางวัฒนธรรมประเพณีที่ดีงาม การทอดกฐินจึงเป็นเรื่องใหญ่โต พระบางวัดหรือสมภารบางรูปถึงกับลงทุนไปเจริญศรัทธาญาติโยมให้นำกฐินไปทอดถวายด้วยซ้ำไป

กฐินเป็นวัฒนธรรมประเพณีที่ต้องปฏิรูป : การที่เจ้าภาพมีจิตศรัทธานำผ้ากฐินไปทอดถวาย วัดวาอารามต่างๆ ทั่วราชอาณาจักรนั้น จัดเป็นกุศลอันยิ่งใหญ่ต่อคณะสงฆ์ไทยและพระพุทธศาสนา เพราะได้ชื่อว่า เป็นการจรรโลงและรักษาไว้ซึ่งวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามล้ำค่าของชาวพุทธ แต่การทอดกฐินด้วยวิธีการเรี่ยไรหรือแจกซองบอกบุญอย่างพร่ำเพรื่อนั้น นอกจากจะผลักคนไทยที่นับถือศาสนาพุทธให้เกิดความเบื่อหน่ายและเอือมระอาแล้ว ยังชื่อว่าเป็นการทำลายวัฒนธรรมประเพณีอันดีงามอย่างรู้เท่าไม่ถึงการณ์อีกด้วย ชาวพุทธจำนวนมิใช่น้อยในสังคมไทยต้องกู้หนี้ยืมสินผู้อื่นมาทำบุญทอดกฐินแบบจำยอมในฤดูกาลหรือเทศกาลทอดกฐินข้าราชการบางคนมีซองกองอยู่บนโต๊ะทำงานจำนวนมาก เกรงใจไม่รู้จะนำไปแจกใครจึงต้องหาเงินมาใส่ซองเอง บางรายเจอซองตั้งแต่ก่อนวันออกพรรษาเป็นอาทิตย์

การทำบุญนั้นเป็นเรื่องที่น่าชื่นชมและอนุโมทนา แต่ถ้าทำบุญแล้วจิตใจไม่มีความสุขหรือชื่นบานก็ไม่เรียกว่าทำบุญ คณะสงฆ์และผู้บริหารบ้านเมืองต้องช่วยกันบริหารจัดการเรื่องการทำบุญในเทศกาลทอดกฐินหรือเทศกาลลอยกระทงอย่างจริงจังและเข้มงวดเพื่อตีกรอบการทำบุญให้ถูกต้องและเหมาะสม เรียกว่าถึงเวลาต้องปฏิรูประบบความเชื่อ หรือความศรัทธา ให้สอดคล้องกับหลักธรรมคำสอนในทางพระพุทธศาสนาเสียที หากปล่อยปละละเลยอยู่เช่นปัจจุบันนี้ก็จะเข้าทำนองที่ว่า "พระพุทธศาสนาดีแต่คนที่นับถือศาสนามีปัญหาสารพัด" เมื่อเป็นเช่นนี้ความศักดิ์สิทธิ์ก็จะจางคลายและหมดไป

การทำบุญตามหลักการทางพระพุทธศาสนานั้นต้องมีองค์ประกอบที่สำคัญ 3 ประการคือ 1) ทำบุญด้วยการให้ (ทานมัย) เช่นการทอดกฐิน 2) ทำบุญด้วยการรักษาศีล (สีลมัย) เช่น การประพฤติดีปฏิบัติชอบ และ 3) ทำบุญด้วยการเจริญภาวนา (ภาวนามัย) เช่น การควบคุมอารมณ์ ควบคุมความต้องการให้เกิดความพอดี การทำความดีต้องมีความพอดี หากเกินดีหรือไม่ถึงดีก็ไม่อาจจะมีดีได้ ด้วยเหตุนี้ จึงไม่ควรตัดสินศาสนาพุทธด้วยชาวพุทธ และไม่ควรตัดสินชาวพุทธด้วยศาสนาพุทธ



รศ.ดร.กิตติทัศน์ ผกาทอง
ภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา
คณะสังคมศาสตร์ มจร.

ที่มา : มติชนรายวัน 18 พ.ย.2558




ไม่มีความคิดเห็น: